SET 2 : เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะเริ่มต้น จนถึงระยะที่ 3 ผู้ที่มีการให้คีโมหรือเคมีบำบัด จะช่วยลดอาการแพ้การให้คีโมหรือเคมีบำบัด เพิ่มเกล็ดเลือด เพิ่มออกซิเจนในเลือด
รับประทาน เช้า/เย็น อย่างละ 1 เม็ด ก่อนอาหาร 10-15 นาที
SET 4 : เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ผู้ที่มีก้อนเนื้ออยู่ระหว่างการให้คีโมหรือเคมีบำบัด มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทานอาหารน้อย น้ำหนักลด ท้องเสีย เบื่ออาหาร
รับประทาน เช้า/เย็น อย่างละ 1 เม็ด ก่อนอาหาร 10-15 นาที
ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งลำไส้
เพราะสาเหตุของมะเร็งลำไส้ยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ได้แก่ทานเนื้อสัตว์ติดมันและเนื้อแดงในปริมาณมาก ทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง (ไส้กรอกเบคอนแฮมเป็นต้น) ในปริมาณมากๆ ทานผักผลไม้น้อยหรือไม่ทานเลย ขาดการออกกำลักาย โรคอ้วน สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำพันธุกรรมหากเป็นผู้ที่มีประวัติครอบครัวมีมะเร็งลำไส้ใหญ่ติ่งเนื้อลำไส้ใหญ่รวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางชนิดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้
อาการเตือนบอกโรค
ในระยะแรกอาจจะไม่มีอาการแสดงที่จำเพาะ โดยอาการที่บ่งบอกว่าอาจจะเป็นมะเร็งลำไส้ ได้แก่ อาการขับถ่ายผิดปกติ ท้องผูกสลับท้องเสีย มีเลือดออกทางทวาร อุจจาระปนเลือด หรืออุจจาระมีลักษณะเปลี่ยนไปเป็นเส้นเล็กลง ปวดท้อง โดยลักษณะการปวดขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนและตำแหน่งที่พบ เช่น ถ้าก้อนโตด้านหน้าจะปวดเจ็บคล้ายคนเป็นไส้ติ่ง ถ้ามีก้อนบริเวณลำไส้ใหญ่ด้านซ้ายจะมีอาการลำไส้อุดตัน ปวดท้องคล้ายลำไส้ถูกบิด เป็นต้น
ตรวจวินิจฉัยให้ถูกจุด
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถทำได้โดยส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทวารหนัก (Colonoscopy)เอกซเรย์คอมพิวเตอร์โดยการสวนแป้งแบเรี่ยมตรวจเลือดเพื่อค้นหามะเร็ ลำไส้ใหญ่ โดยวัดระดับ Carcinoembryonic Antigen (CEA) ตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น เอกซเรย์ทรวงอก, CT Scan, MRI หรือส่องกล้องคลื่นความถี่สูง (EUS)
รักษาตามระยะ
การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ ได้แก่
ระยะที่ 0 (Stage 0) ระยะก่อนมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะอยู่บริเวณผนังลำไส้ สามารถรักษาได้โดยการส่องกล้องเพื่เข้าไปตัดชิ้นเนื้อออกระยะที่ 1 (Stage I) – ระยะที่ 2 (Stage II) เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปบริเวณผนังกล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่ แต่ยังไม่แพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง สามารถรักษาได้โดยผ่าตัดตามตำแหน่งที่พบในลำไส้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ตรวจพบในระยะที่ 2 จะมีการตรวจยีน (Genome Testing) เพิ่มเติม เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ร่วมด้วยหรือไม่ เพราะการรักษาด้วยเคมีบำบัดช่วยลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้
ระยะที่ 3 (Stage III)
เซลล์มะเร็งลุกลามไปยังบริเวณต่อมน้ำเหลือง ต้องมีการตรวจยีน (Genome Testing) ร่วมด้วย สามารถรักษาโดยการให้เคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) แต่จะมีการฉายรังสี (Radiotherapy) ร่วมด้วยในกรณีที่พบบริเวณลำไส้และทวารหนัก
ระยะที่ 4 (Stage IV)
เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วทั้งต่อมน้ำเหลืองและอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด กระเพาะอาหาร รังไข่ ต้องรักษาเริ่มต้นโดยการให้เคมีบำบัด (Chemotherapy) ร่วมกับการฉายรังสี (Radiotherapy) แล้วตามด้วยการผ่าตัดก้อนมะเร็งในตำแหน่งที่พบรวมถึงตำแหน่งที่ลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง